วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ไข่อุ๊บ อุ๊บไข่ อาหารไทยใหญ่

วิธีการทำ  นำไข่ไก่ไปต้มให้สุกก่อน 

เครื่องปรุง ก็จะมี หอมแดง  พริกแห้ง  ถั่วเน่าแผ่น   ( คนไทยใหญ่จะใช้ถั่วเน่าเเทนกะปิค่ะ ) ขมิ้นผง  มะเขือเทศ   น้ำมันพืช  ผักชี  

ขั้นเเรกก็ ย่างถั่วเน่าแผ่นให้เหลือง พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำร้อน หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็กๆ  นำถั่วเน่าแผ่นที่ย่าง หอมแดง พริกแห้งแกะเมล็ด มะเขือเทศหั่นและขมิ้นผงมาโขลกรวมกัน
   
 ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พอน้ำมันร้อนได้ที่ นำเครื่องปรุงที่โขลกไว้ทั้งหมดลงผัดจนมีกลิ่นหอม คนให้เข้ากัน แล้วจึงนำไข่ที่ผ่าซีกจัดเรียงในกระทะ พลิกกลับไปมาจนเครื่องแกงเข้ากันดี รอจนน้ำแห้งตักใส่จานโรยผักชี ก็จะได่เมนูไข่อุ๊บที่อร่อย หอม น่าทาน เเละมีประโยชน์มากด้วย


ผักกูดอุ๊บ,อาหารไทยใหญ่

ส่วนผสม
  •  ผักกูด (เด็ดเอาแต่ยอด) 300 กรัม
  •  หมูสับ 50 กรัม
  •  มะเขือเทศสีดาหั่นเป็นชิ้นๆ 4 ลูก
  •  หอมเล็กซอย 5 หัว
  •  พริกแห้งเม็ดใหญ่ 2-3 เม็ด
  •  น้ำเปล่าประมาณ 1 ถ้วย
  •  ซีอิ๊วขาว
  •  น้ำมันงาสำหรับผัด
  •  กะปิ
วิธีทำ
1. โขลกพริกแห้งพอแหลก ใส่หอมเล็กกะปิ โขลกให้เข้ากัน ใส่มะเขือเทศโขลกพอแหลก
2. ตั้งกระทะ ใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพอหอมใส่พริกที่โขลกไว้ลงผัด
3. ใส่หมูสับ ผัดพอสุก ใส่ผักกูด ผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าแล้วปิดฝาหรืออุ๊บไว้ประมาณ 10 นาที
4. พอสุกปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวตามชอบ

ประเพณีของ ชาวไทใหญ่

การรำโต หรือ ก้าโต เป็นการแสดงโดยให้ผู้แสดงสองคนมุดเข้าไปอยู่ในหุ่นคล้ายกับกวาง ซึ่งไทใหญ่เรียกว่า โต เป็นสัตว์ในนิยายในสมัยพระพุทธกาล จากนั้นก็จะเต้นรำไปตามจังหวะกลองก้นยาว
อย่างน่าสนุกสนาน ซึ่งการฟ้อนนกและโตนี้ ส่วนใหญ่จะนิยมฟ้อนและรำในช่วงงานวันออกพรรษา เนื่องจากชาวไทใหญ่มีความเชื่อ ว่า นก โต เป็นสัตว์ที่ได้ร่วมถวายการฟ้อนรำแด่พระพุทธเจ้าในช่วงวันออกพรรษา 

กล่าวกันว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากการเทศนาธรรมให้แก่พระมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงด์มาสู่โลกมนุษย์ หรือที่เรียกว่าวันพระเจ้าเปิดโลกซึ่งตรงกับวันออกพรรษานั้น ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้พากันถวายการต้อนรับ ขณะที่สัตว์น้อยใหญ่ เช่น เสือ สิงห์ ช้าง ลิง นก นกกิ่งนะหร่า กิ่งนะหรี่ โต ก็ได้พากันมาถวายการฟ้อนรำด้วย เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ชาวไทใหญ่ จึงได้ยึดถือเอาเหตุการณ์นั้นนำมาปฏิบัติสืบทอดกันมา

ปัจจุบัน การฟ้อนรำ นก โต ได้เริ่มเผยแพร่เข้าสู่สังคมไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอน ซึ่งสามารถพบเห็นในงานหรือการเดินขบวนทั่วไป ทั้งนี้ เนื่องจากตลอดช่วง 10 - 15 ปีมานี้ ในภาคเหนือของไทยมีชนชาวไทใหญ่อพยพเข้ามาอยู่มากขึ้น และการฟ้อนรำ นก โต ได้มีการนำเข้าไปสอนตามโรงเรียนหลายแห่งของไท

การแต่งกายผู้ชายไทใหญ่

ผู้ชายชาวไทใหญ่นิยมสักร่างกายเช่นเดียวกับชาวไทยวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณขาทั้งสองข้างที่จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จากหลักฐานจิตรกรรมฝาผนังทำให้ทราบว่าชายไทใหญ่โบราณจะไว้ผมยาว เกล้ามวยกลางศรีษะเคียนด้วยผ้าสีอ่อน บางครั้งก็จะนำผมตนเองมาพันกับผ้าเคียนนั่นด้วย สวมเสื้อคอกลมแขนยาว ชายเสื้อยาวคลุมลงมาถึงสะโพก นุ่งผ้าลุนตะยาอฉิกขมวดเป็นปมไว้ด้านหน้าแล้วนำชายผ้าที่เหลือขึ้นพาดบ่า ซึ่งการแต่งกายดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลพม่าอย่างชัดเจน
ชายไทใหญ่ในยุคต่อมาทั้งเจ้านายและสามัญชน จะสวมเสื้อคอตั้ง แขนยาว ผ่าหน้ากระดุมห้าเม็ด ซึ่งเรียกชื่อชนิดนี้ว่า เสื้อไต สวมกางเกงขาก๊วยแบบจีน ซึ่งชาวไทใหญ่เรียกว่า ก๋นหรือก๋นห่งย่ง” ซึ่งทั้งเสื้อและกางเกงนิยมตัดขึ้นด้วยผ้าสีเดียวกัน ซึ่งหากเป็นชุดของเจ้านายจะใช้ที่มีราคาแพงและเนื้อดีกว่าสามัญชน

การแต่งกายผู้หญิงไทใหญ่

การแต่งกายของผู้หญิงชาวไทใหญ่จะสวมซิ่นหรือผ้าถุง หญิงสาวมักจะใส่สีสดใส ส่วนแม่บ้านหรือคนแก่จะใส่สีเข้ม ซิ่นชาวไทใหญ่มีทั้งที่ทอขึ้นเองและทำจากผ้าซึ่งได้จากการติดต่อซื้อขาย โดยชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณทะเลสาบอินเลจะนุ่งซิ่นที่ทำขึ้นด้วยเทคนิคมัดหมี่ เรียกกันว่า ซิ่นซิมเหม่ หมายถึง ซิ่นแบบเชียงใหม่ ทั้งนี้บางเทคนิคการทอบางผืนจะใช้จากมัดหมี่เส้นยืน ซึ่งเมื่อนำมาเย็บเป็นผ้าซิ่นแล้วจะได้ลวดลายริ้วขวางลำตัว คล้ายซิ่นต๋าของไทยวนเชียงใหม่ ส่วนไทใหญ่บางกลุ่มนุ่งซิ่นต๋าซึ่งมีลักษณะโครงสร้างคล้ายซิ่นต๋าของไทลื้อ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากความใกล้ชิดด้านชาติพันธุ์และภูมิศาสตร์ เช่น ไทใหญ่ที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ชาวไทใหญ่ในราชนิยมสำนักนำผ้าซิ่นแบบพม่าคือ ซิ่นลุนตะยาอฉิก มาใช้ในการแต่งกายในโอกาสพิเศษด้วย เพราะซิ่นดังกล่าวแสดงออกถึงความมีฐานะ ร่ำรวย นอกจากนี้แล้วพบว่ามีการนำเอาผ้าจากต่างประเทศมาตัดเย็บเป็นผ้าซิ่นด้วย เช่น ผ้าแพร ผ้าปังลิ้น จากจีน เป็นต้น
หญิงไทใหญ่สวมเสื้อที่เรียกว่า เส้อแซค” ซึ่งมีทั้งแขนสั้นและแขนยาวหลากสี สาบเสื้อป้ายทับไปทางด้านขวา ติดกระดุมผ้าหรือกระดุมเงินกระดุมทอง หญิงสาวเกล้าผมมวยตั้งมี กุ้ก”   และไว้  สต๊อก”  ( หญิงสาวจะไว้สะต้อก ถ้าแต่งงานแล้วจะไม่มีสะต้อก)   แม่บ้านหรือคนแก่รวบผมเกล้ามวยเยื้องไปทางด้านหลัง ในเทศกาลที่สำคัญต่างๆ จะสวมเครื่องประดับมากเป็นพิเศษเช่น สร้อยแขน” หรือกำไลเงิน หรือกำไลทอง เป่หู” หรือตุ้มหูเงินตุ้มหูทองคำ สร้อยคอทองคำ และเข็มขัดเงินหรือทอง หรือนาค (แหวนโจยหลิ่ม)  หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หญิงไตหันมาแต่งตัวตามสมัยนิยมชุดไตดั้งเดิมพอจะพบเห็นได้ประปรายในผู้สูงอายุ  หรือพบในผู้ร่วมงานเทศกาลที่สำคัญและงานทำบุญต่างๆ