วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ไข่อุ๊บ อุ๊บไข่ อาหารไทยใหญ่

วิธีการทำ  นำไข่ไก่ไปต้มให้สุกก่อน 

เครื่องปรุง ก็จะมี หอมแดง  พริกแห้ง  ถั่วเน่าแผ่น   ( คนไทยใหญ่จะใช้ถั่วเน่าเเทนกะปิค่ะ ) ขมิ้นผง  มะเขือเทศ   น้ำมันพืช  ผักชี  

ขั้นเเรกก็ ย่างถั่วเน่าแผ่นให้เหลือง พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำร้อน หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็กๆ  นำถั่วเน่าแผ่นที่ย่าง หอมแดง พริกแห้งแกะเมล็ด มะเขือเทศหั่นและขมิ้นผงมาโขลกรวมกัน
   
 ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พอน้ำมันร้อนได้ที่ นำเครื่องปรุงที่โขลกไว้ทั้งหมดลงผัดจนมีกลิ่นหอม คนให้เข้ากัน แล้วจึงนำไข่ที่ผ่าซีกจัดเรียงในกระทะ พลิกกลับไปมาจนเครื่องแกงเข้ากันดี รอจนน้ำแห้งตักใส่จานโรยผักชี ก็จะได่เมนูไข่อุ๊บที่อร่อย หอม น่าทาน เเละมีประโยชน์มากด้วย


ผักกูดอุ๊บ,อาหารไทยใหญ่

ส่วนผสม
  •  ผักกูด (เด็ดเอาแต่ยอด) 300 กรัม
  •  หมูสับ 50 กรัม
  •  มะเขือเทศสีดาหั่นเป็นชิ้นๆ 4 ลูก
  •  หอมเล็กซอย 5 หัว
  •  พริกแห้งเม็ดใหญ่ 2-3 เม็ด
  •  น้ำเปล่าประมาณ 1 ถ้วย
  •  ซีอิ๊วขาว
  •  น้ำมันงาสำหรับผัด
  •  กะปิ
วิธีทำ
1. โขลกพริกแห้งพอแหลก ใส่หอมเล็กกะปิ โขลกให้เข้ากัน ใส่มะเขือเทศโขลกพอแหลก
2. ตั้งกระทะ ใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพอหอมใส่พริกที่โขลกไว้ลงผัด
3. ใส่หมูสับ ผัดพอสุก ใส่ผักกูด ผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าแล้วปิดฝาหรืออุ๊บไว้ประมาณ 10 นาที
4. พอสุกปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวตามชอบ

ประเพณีของ ชาวไทใหญ่

การรำโต หรือ ก้าโต เป็นการแสดงโดยให้ผู้แสดงสองคนมุดเข้าไปอยู่ในหุ่นคล้ายกับกวาง ซึ่งไทใหญ่เรียกว่า โต เป็นสัตว์ในนิยายในสมัยพระพุทธกาล จากนั้นก็จะเต้นรำไปตามจังหวะกลองก้นยาว
อย่างน่าสนุกสนาน ซึ่งการฟ้อนนกและโตนี้ ส่วนใหญ่จะนิยมฟ้อนและรำในช่วงงานวันออกพรรษา เนื่องจากชาวไทใหญ่มีความเชื่อ ว่า นก โต เป็นสัตว์ที่ได้ร่วมถวายการฟ้อนรำแด่พระพุทธเจ้าในช่วงวันออกพรรษา 

กล่าวกันว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากการเทศนาธรรมให้แก่พระมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงด์มาสู่โลกมนุษย์ หรือที่เรียกว่าวันพระเจ้าเปิดโลกซึ่งตรงกับวันออกพรรษานั้น ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้พากันถวายการต้อนรับ ขณะที่สัตว์น้อยใหญ่ เช่น เสือ สิงห์ ช้าง ลิง นก นกกิ่งนะหร่า กิ่งนะหรี่ โต ก็ได้พากันมาถวายการฟ้อนรำด้วย เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ชาวไทใหญ่ จึงได้ยึดถือเอาเหตุการณ์นั้นนำมาปฏิบัติสืบทอดกันมา

ปัจจุบัน การฟ้อนรำ นก โต ได้เริ่มเผยแพร่เข้าสู่สังคมไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอน ซึ่งสามารถพบเห็นในงานหรือการเดินขบวนทั่วไป ทั้งนี้ เนื่องจากตลอดช่วง 10 - 15 ปีมานี้ ในภาคเหนือของไทยมีชนชาวไทใหญ่อพยพเข้ามาอยู่มากขึ้น และการฟ้อนรำ นก โต ได้มีการนำเข้าไปสอนตามโรงเรียนหลายแห่งของไท

การแต่งกายผู้ชายไทใหญ่

ผู้ชายชาวไทใหญ่นิยมสักร่างกายเช่นเดียวกับชาวไทยวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณขาทั้งสองข้างที่จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จากหลักฐานจิตรกรรมฝาผนังทำให้ทราบว่าชายไทใหญ่โบราณจะไว้ผมยาว เกล้ามวยกลางศรีษะเคียนด้วยผ้าสีอ่อน บางครั้งก็จะนำผมตนเองมาพันกับผ้าเคียนนั่นด้วย สวมเสื้อคอกลมแขนยาว ชายเสื้อยาวคลุมลงมาถึงสะโพก นุ่งผ้าลุนตะยาอฉิกขมวดเป็นปมไว้ด้านหน้าแล้วนำชายผ้าที่เหลือขึ้นพาดบ่า ซึ่งการแต่งกายดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลพม่าอย่างชัดเจน
ชายไทใหญ่ในยุคต่อมาทั้งเจ้านายและสามัญชน จะสวมเสื้อคอตั้ง แขนยาว ผ่าหน้ากระดุมห้าเม็ด ซึ่งเรียกชื่อชนิดนี้ว่า เสื้อไต สวมกางเกงขาก๊วยแบบจีน ซึ่งชาวไทใหญ่เรียกว่า ก๋นหรือก๋นห่งย่ง” ซึ่งทั้งเสื้อและกางเกงนิยมตัดขึ้นด้วยผ้าสีเดียวกัน ซึ่งหากเป็นชุดของเจ้านายจะใช้ที่มีราคาแพงและเนื้อดีกว่าสามัญชน

การแต่งกายผู้หญิงไทใหญ่

การแต่งกายของผู้หญิงชาวไทใหญ่จะสวมซิ่นหรือผ้าถุง หญิงสาวมักจะใส่สีสดใส ส่วนแม่บ้านหรือคนแก่จะใส่สีเข้ม ซิ่นชาวไทใหญ่มีทั้งที่ทอขึ้นเองและทำจากผ้าซึ่งได้จากการติดต่อซื้อขาย โดยชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณทะเลสาบอินเลจะนุ่งซิ่นที่ทำขึ้นด้วยเทคนิคมัดหมี่ เรียกกันว่า ซิ่นซิมเหม่ หมายถึง ซิ่นแบบเชียงใหม่ ทั้งนี้บางเทคนิคการทอบางผืนจะใช้จากมัดหมี่เส้นยืน ซึ่งเมื่อนำมาเย็บเป็นผ้าซิ่นแล้วจะได้ลวดลายริ้วขวางลำตัว คล้ายซิ่นต๋าของไทยวนเชียงใหม่ ส่วนไทใหญ่บางกลุ่มนุ่งซิ่นต๋าซึ่งมีลักษณะโครงสร้างคล้ายซิ่นต๋าของไทลื้อ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากความใกล้ชิดด้านชาติพันธุ์และภูมิศาสตร์ เช่น ไทใหญ่ที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ชาวไทใหญ่ในราชนิยมสำนักนำผ้าซิ่นแบบพม่าคือ ซิ่นลุนตะยาอฉิก มาใช้ในการแต่งกายในโอกาสพิเศษด้วย เพราะซิ่นดังกล่าวแสดงออกถึงความมีฐานะ ร่ำรวย นอกจากนี้แล้วพบว่ามีการนำเอาผ้าจากต่างประเทศมาตัดเย็บเป็นผ้าซิ่นด้วย เช่น ผ้าแพร ผ้าปังลิ้น จากจีน เป็นต้น
หญิงไทใหญ่สวมเสื้อที่เรียกว่า เส้อแซค” ซึ่งมีทั้งแขนสั้นและแขนยาวหลากสี สาบเสื้อป้ายทับไปทางด้านขวา ติดกระดุมผ้าหรือกระดุมเงินกระดุมทอง หญิงสาวเกล้าผมมวยตั้งมี กุ้ก”   และไว้  สต๊อก”  ( หญิงสาวจะไว้สะต้อก ถ้าแต่งงานแล้วจะไม่มีสะต้อก)   แม่บ้านหรือคนแก่รวบผมเกล้ามวยเยื้องไปทางด้านหลัง ในเทศกาลที่สำคัญต่างๆ จะสวมเครื่องประดับมากเป็นพิเศษเช่น สร้อยแขน” หรือกำไลเงิน หรือกำไลทอง เป่หู” หรือตุ้มหูเงินตุ้มหูทองคำ สร้อยคอทองคำ และเข็มขัดเงินหรือทอง หรือนาค (แหวนโจยหลิ่ม)  หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หญิงไตหันมาแต่งตัวตามสมัยนิยมชุดไตดั้งเดิมพอจะพบเห็นได้ประปรายในผู้สูงอายุ  หรือพบในผู้ร่วมงานเทศกาลที่สำคัญและงานทำบุญต่างๆ 






วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

ไทใหญ่ หรือ ฉาน (SHAN)

ไทใหญ่ หรือ ฉาน  (SHAN)

ไทใหญ่ หรือ ฉาน (ไทใหญ่: ไต๊, พม่า: ရ္ဟမ္‌းလူမ္ယုိး; IPA: [ʃán lùmjóʊ]; จีนตัวย่อ: 掸族; พินอิน: Shàn zú) คือกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลภาษาไท-กะได ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดใหญ่อันดับสองของพม่า ส่วนมากอาศัยในรัฐฉาน ประเทศพม่าและบางส่วนอาศัยอยู่บริเวณดอยไตแลง ชายแดนประเทศไทย-ประเทศพม่า คนไทใหญ่ในประเทศพม่ามีประมาณ 3 หรือ 4 ล้านคน แต่มีไทใหญ่หลายแสนคน ที่ได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยเพื่อหนีปัญหาทางการเมืองและการหางาน ตามภาษาของเขาเองจะเรียกตัวเอง ไต หรือ ไต (ตามสำเนียงไทย) พี่น้องไตในพม่ามีหลายกลุ่ม เช่น ไตขืน ไตแหลง ไตคัมตี ไตลื้อ และ ไตมาว แต่กลุ่มใหญ่ที่สุดคือ ไตโหลง ไต = ไท และ โหลง (หลวง) = ใหญ่ ซึ่งคนไทยเรียก ไทใหญ่ เหตุฉะนั้นจะเห็นได้ว่าภาษาไต และภาษาไทยคล้ายกันบ้างแต่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีคำเรียกไทใหญ่อีกอย่างว่า เงี้ยว แต่เป็นคำที่ไม่สุภาพในการเอ่ยถึงชาวไทใหญ่

ชาวไทใหญ่ถือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เป็นวันชาติ

เมืองหลวงของรัฐฉานคือ ตองยี ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆมีประชากรประมาณ 150,000 คน ส่วนเมืองสำคัญอื่นๆ ได้แก่ สีป้อ ล่าเสี้ยว เชียงตุง และท่าขี้เหล็ก

ชาวไทใหญ่ทั้งหมดสามมารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้
1. ชาวไทใหญ่ หรือไทหลวง(ไตโหลง)
2. ชาวไทลื้อ มีถิ่นฐานอยู่ในแค 
ว้นสิ

บสองปันนาของประเทศจีน และทางตะวันออกของรัฐฉาน
3. ชาวไทเขิน(ไตขึน) เป็นประชากรส่วนใหญ่ของเมืองเชียงตุง
4. ชาวไทเหนือ(ไตเหลอ) อาศัยอยู่ในแค้วนใต้คง(เต้อหง) ของประเทศจีน 
ในประวัติศาสตร์ไทใหญ่เต็มไปด้วยเรื่องราวสงคราม และประวัติศาสตร์ระยะใกล้ก็ถูกพม่ากดไว้ จนการเรียนประวัติศาสตร์ของชาวไทใหญ่กลายเป็นวิชาต้องห้ามการเรียนประวัติศาสตร์ของชาวไทใหญ่เป็นเรื่องต้องห้ามตั้งแต่สมัยอังกฤษปกครอง โดยไม่ยอมให้วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาบังคับ เมื่อพม่ากลับมามีอำนาจเหนือดินแดนรัฐฉานจึงสืบทอดเรื่องนี้ต่อไป  ชาวไทใหญ่ต้องเรียนภาษาพม่า เรียนทุกวิชาเป็นภาษาพม่า แม้ผู้ที่ไม่ได้โรงเรียน เข้าวัด แต่ระเบียบพิธี และพิธีกรรมต่างๆ เป็นแบบพม่า และใช้ภาษาพม่าทั้งหมด
อิทธิพลทางวัฒนธรรมของพม่าในไทใหญ่จึงมีมาก ซึ่งเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ด้วย โดยอิทธิพลทางวัฒนธรรมของพม่ายังเป็นสิ่งสืบเนื่องจากทางการเมืองอีกด้วย กล่าวคือเมื่อพม่าเป็นใหญ่ขึ้นมาก็จะเกณฑ์ให้เจ้าฟ้าไทใหญ่ส่งลูกสาวและลูกชายไปเมืองหลวงพม่า เจ้าหญิงเจ้าชายเหล่านี้จึงได้รับวัฒนธรรมพม่ามาอย่างไม่รู้ตัว และนำกลับมาเผยแพร่แก่ประชาชนไทใหญ่ในรูปแบบของภาษา ดนตรี นาฏศิลป์ และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เช่น เกิดความนิยมว่า วรรณคดีที่ไพเราะซาบซึ้งควรมีคำพม่าผูกผสมผสานกับคำไท ความเป็นพม่าจึงครอบกรอบสังคมไทใหญ่
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN
ไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ รัฐฉาน SHAN

แม้ภาษาไทใหญ่รัฐฉานที่อนุญาตให้สอนในอดีตนั้น ภาษาไทใหญ่เป็นเพียงวิชาเลือก มีการเรียนแต่ไม่มีการสอบ ถึงมีการสอบก็ไม่มีการเอาคะแนนไปสะสม แต่ว่าไทใหญ่ก็จะเดือดร้อนมาก เพราะใช้ภาษาของตนเองไม่ได้เต็มที่ การเรียนหนังสือก็เรียนภาษาพม่าซึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งซึ่งไม่คล้ายคลึงกันมาก การเรียนรู้ให้ดีทั้งสองภาษาจึงเป็นไปได้ยาก และเพราะเหตุที่ชาวไทใหญ่ละเลยภาษาของตนเองมานานนี้เอง
การดำรงความเป็นปึกแผ่นในชาติไทใหญ่จึงเป็นไปได้ยากเจ้าขุนสาม ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายวัฒนธรรมรัฐฉานในอดีต เคยออกสำรวจคนไทในพม่า พบว่ามีคนไทใหญ่พูดภาษาไทใหญ่มากมายหลายแห่ง แต่ไม่ได้จำนวนที่แน่นอน เพราะคนไทเหล่านั้นจะเรียกตนเองว่าเป็นพม่า พูดภาษาพม่า แต่งกายเป็นพม่า แต่งตัวเป็นพม่า จนกว่าจะไปถึงบ้าน จึงสามารถรู้ได้ว่าพวกเขารักษาภาษา และวัฒนธรรมไทใหญ่ไว้ได้แค่ไหน